
เลือกประเภท ไม้ ที่ใช้ในการก่อสร้าง

เลือกประเภท ไม้ ที่ใช้ในงานก่อสร้าง ให้ถูกกับงาน
ประเภทไม้ที่ใช้ในการก่อสร้าง
ไม้ Wood เป็นวัสดุ ที่เรียกได้ว่า เป็นวัสดุ และปัจจัย พื้นฐาน ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในงาน ทั้งงานประเภทก่อสร้าง และงานประเภทตกแต่ง หรืองานส่วนประกอบอื่นๆ โดยเนื่องจากไม้ เป็นวัสดุธรรมชาติ การเลือกไม้ ที่นำมาใช้กับงานก่อสร้างนั้นก็ต้องใช้งานให้ถูกกับงาน และถูกลักษณะธรรมชาติของเนื้อไม้ โดย ไม้ ที่มีในท้องตลาด มีทั้ง ไม้เนื้อแข็ง ไม้เนื้อปานกลาง ไม้เนื้ออ่อน นอกจากนี้ ด้วยความเป็นเอกลักษณ์ ของวัสดุประเภท ไม้ ที่ให้ทั้งควาสวยงาม ความแข็งแรง รวมไปถึง ผลพลอยได้ ที่ให้ทั้งความรู้สึกอบอุ่น ความพรีเมี่ยม ความรู้สึกที่อยู่ใกล้ธรรมชาติ อีกด้วย โดยประเภทไม้ ที่เหมาะกับการก่อสร้าง มีดังต่อไปนี้

ไม้เนื้อแข็ง ทำไมจึงเลือกใช้ ไม้เนื้อแข็งในงานก่อสร้าง หากแต่ ไม้เนื้อแข็ง มักเป็นไม้ที่มีเนื้อเหนียว มีสีเข้มกว่าไม้ประเภทอื่น และมีความแข็งแรงประมาณ 1,000 กก./ลบ.ม. (ทนแรงกระแทกได้ดี ไม้เนื้อแข็งจะ เนื้อแน่น) ไม้เนื้อแข็งนี้ จะทนได้ดี ต่อการใช้งานภายนอก โดยเฉพาะงานที่ต้องเจอสภาวะอากาศแปรปรวนต่างๆ โดยไม่ว่าจะเป็นที่ที่มี แดดแรง ลมพายุพัดแรง ฝนตกใส่ ข้อดี ที่สำคัญของ ไม้เนื้อแข็ง ก็คือ ไม้เนื้อแข็ง จะมีอายุการใช้งานยาวนาน สามารถใช้งานได้สูงถึง 6 ปี แต่ข้อควรระวังของการเลือกใช้ ไม้เนื้อแข็ง ก็คือ การที่ ไม้เนื้อแข็ง มักจะเกิดการบิดตัว เมื่อไม้บิดตัว ก็จะก่อให้เกิดความชื้น หรือ ความร้อนส่งผ่านไปได้ง่าย ทำให้ ไม้เนื้อแข็ง เกิดการยืดหดตัว ขยายตัว ตัวอย่างของไม้เนื้อแข็ง ที่ได้ยินบ่อยๆ ก็เช่น ไม้เต็ง, ไม้ตะแบก, ไม้แดง, ไม้มะค่า, ไม้ตะเคียนทอง, ไม้ประดู่ เป็นต้น
ไม้เต็ง (ไม้เนื้อแข็ง สำหรับงานก่อสร้าง)
-
ไม้เต็ง เป็นไม้ที่ได้ยินชื่อบ่อยที่สุด โดย ไม้เต็ง นับว่าเป็น ต้นไม้ ที่มีขนาดต้นอยู่ใน ระดับกลาง ถึง ระดับใหญ่ เนื้อของ ไม้เต็ง จะมีสีน้ำตาลอ่อนจนถึงสีน้ำตาลแก่แกมแดง เนื้อไม้เต็ง มีความหยาบ แต่ เนื้อมีความสม่ำเสมอ มีความแข็ง ความเนียว และมีความแข็งแรง เนื้อไม้เต็ง ทนทาน ตัวลายเสี้ยนของ ไม้เต็ง จะเป็นลาย ทำให้เมื่อผ่านการผึ่งให้แห้งแล้ว การเลื่อยไส หรือการตกแต่งทำได้ยาก น้ำหนักโดยเฉลี่ยอยู่ที่ ประมาณ 1,040 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร งานก่อสร้างที่ใช้ ไม้เต็ง อันได้แก่ การใช้ ไม้เต็ง ทำ ไม้หมอนรถไฟ (น้ำหนักมาก) ขนส่งคอยล์เหล็ก ทำด้ามเครื่องมือกสิกรรม และ ทำโครงสร้างอาคาร เช่น บริเวณ ตง วาน วงกบ ประตูหน้าต่าง โครงหลังคา และ ไม้เต็ง มีความแข็งแรง ถึงขั้นนำมาทำเป็นเสาได้เช่นกัน เป็นต้น
ไม้รัง (ไม้เนื้อแข็ง สำหรับงานก่อสร้าง)
-
ไม้รัง หลายคนอาจจะได้ยินชื่อ ไม้เต็ง ไม้รัง คู่กัน โดนวางขายคู่กัน ไม้รัง เป็นต้นไม้ขนาดลำต้น ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ โดยลักษณะเนื้อ ไม้รัง มีสีน้ำตาลอมเหลือง เนื้อหยาบ และไม่สม่ำเสมอ (ต่างกับ ไม้เต็ง ที่เนื้อจะมีความสม่ำเสมอ) เนื้อและลายเสี้ยนของไม้รัง เป็นแบบ เสี้ยนไม้ลายสับสน ไม้รัง จัดอยู่ในประเภทไม้ ที่มีความแข็ง น้ำหนักมาก มีความแข็งแรง และทนทานมาก เลื่อยไส ตกแต่ง ไม้รัง จะทำได้ค่อนข้างยาก โดยเมื่อผ่านการผลิตแบบผึ่งแห้ง จะมีลักษณะคล้าย ไม้เต็ง จึงเป็นที่มาที่ตลาดมักเรียกว่า ไม้เต็งรัง โดย ไม้รัง จะน้ำหนักโดยเฉลี่ยประมาณ 800 กก./ลบ.ม. การใช้งาน ไม้รัง อันได้แก่ การนำมาใช้ทำเสา และโครงสร้างอาคาร ทำไม้หมอนรางรถไฟ และทำเครื่องมือกสิกรรม เป็นต้น
ไม้แดง (ไม้เนื้อแข็ง สำหรับงานก่อสร้าง)
-
ไม้แดง เป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ ลักษณะของเนื้อไม้มีสีแดงเรื่อๆ หรือสีน้ำตาลอมแดง เสี้ยนแข็งแรงและทนทาน เลื่อยไสตกแต่งได้เรียบร้อย ขัดชักเงาได้ดี น้ำหนักโดยเฉลี่ยประมาณ 960 กก./ลบ.ม. ไม้นี้นิยมในการก่อสร้างในส่วนที่ไม่ใช่โครงสร้าง เช่น พื้น วงกบ ประตูหน้าต่าง ทำเกวียน ทำเรือ หมอนรางรถไฟ เครื่องเรือน เครื่องมือกสิกรรม และด้ามเครื่องมือ ไม้แดงนี้ปลวกหรือเพรียงจะไม่ค่อยรบกวน และเป็นต้นไม้ที่ต้านทานไฟในตัวด้วย ไม้แดงเป็นไม้ที่มีความแข็งมาก ทำให้เวลาเกิดความชื้นหรือร้อน อาจจะขยายตัวจนกำแพงแตกได้
ไม้ตะเคียนทอง (ไม้เนื้อแข็ง)
-
ไม้ตะเคียนทอง เป็นต้นไม้ใหญ่และสูงมาก ลักษณะเนื้อไม้มีสีเหลืองหม่น หรือสีน้ำตาลอมเหลือง มักมีเส้นสีขาวหรือสีเทาขาวผ่านเสมอ สีที่ผ่านนี้เป็นท่อน้ำมันยาง เสี้ยนมักสับสน เนื้อละเอียดปานกลาง แข็ง เหนียว ทนทาน ทนปลวกได้ดี นำไปเลื่อยใสกล ตกแต่งและชักเงาได้ดีมาก น้ำหนักโดยเฉลี่ย 750 กก./ลบ.ม. ใช้ในการก่อสร้างอาคารและไม้หมอนรถไฟ
ไม้ตะแบก (ไม้เนื้อแข็ง)
-
ไม้ตะแบก เป็นต้นไม้สูงใหญ่ ลักษณะเนื้อไม้สีเทาจนถึงน้ำตาลอมเทา เสี้ยนตรง หรือเกือบตรง เนื้อละเอียดปานกลาง เป็นมัน แข็ง เหนียว แข็งแรง และทนทานดี ถ้าใช้ในร่มไม่ตากแดดตากฝน ใช้ทำเสาบาน ทำเรือ แพ เกวียน เครื่องมีกสิกรรม ไม้ตะแบกชนิดลายใช้ทำเครื่องเรือนได้สวยงามมาก ใช้ทำด้ามมีด กรอบรูป และด้ามปืน เป็นต้น
ไม้มะค่าแต้ (ไม้เนื้อแข็ง)
-
ไม้มะค่าแต้ เป็นต้นไม้ขนาดกลางถึงขนาดสูงใหญ่ ลักษณะทั่วไปเนื้อไม้มีสีน้ำตาลอ่อนถึงสีน้ำตาลแก่ มีเส้นเสี้ยนผ่านและมีสีแก่กว่าสีพื้น เสี้ยนสับสน เนื้อค่อนข้างหยาบแต่สม่ำเสมอเป็นมันเลื่อม แข็งและทนทานมาก ทนมอด ทนปลวกได้ดี เลื่อยไสตกแต่งได้ยาก เพราะความแข็งของไม้ น้ำหนักโดยเฉลี่ย 1090 กก./ลบ.ม. ใช้ในการก่อสร้างต่างๆ ทำหมอนรถไฟ ทำเครื่องเกวียน เครื่องไถนา และเครื่องเรือน
ไม้ประดู่ (ไม้เนื้อแข็ง)
-
ไม้ประดู่ เป็นต้นไม้สูงใหญ่ ลักษณะเนื้อไม้สีแดงอมเหลืองถึงสีแดง อย่างสีอิฐแก่ สีเส้นเสี้ยนแก่กว่าสีพื้น บางทีมีลวดลายสวยงามมาก เสี้ยนสับสนเป็นริ้ว เนื้อละเอียดปานกลาง แข็งและทนทาน ไสตกแต่งและทำเงาได้ดี น้ำหนักโดยเฉลี่ย 800 กก./ลบ.ม. ใช้ในการก่อสร้าง ทำเกวียน เครื่องเรือนที่สวยงาม ทำจากปุ่มประดู่ ทำด้ามเครื่องมือ และสิ่งอื่นๆที่ต้องการความแข็งแรง ทนทาน ไม้ประดู่ส่วนใหญ่คือ ประดู่แดงหรือประดู่เหลือง ความแข็งใกล้เคียงกับไม้แดง แต่ยืดหดน้อยกว่า

ไม้เนื้อแข็งปานกลาง เป็นไม้ที่ไม่ได้แข็งเท่าไม่เนื้อแข็ง คุณภาพดีกว่าไม้เนื้ออ่อน มีความแข็งแรงประมาณ 600 ถึง 1,000 กก./ลบ.ม คุณสมบัติหลักๆของไม้เนื้อปานกลาง คือ ทนทานต้อสภาพอากาศได้ดีเท่ากับไม้เนื้อแข็ง นิยมเอาไปทำเฟอร์นิเจอร์ เครื่องเรือนต่างๆ ที่ต้องการความละเอียดสวยงาม อายุการใช้งานประมาณ 6 ปี ตัวอย่างของไม้เนื้อแข็งปานกลาง ได้แก่ ไม้ยูง ไม้มะค่าแต้ ไม้พลวง ไม้นนทรี ไม้ตะแบก ไม้ตาเสือ ไม้ตะเคียนทอง
ไม้สัก (ไม้เนื้อแข็งปานกลาง)
-
ไม้สัก ไม้เนื้อแข็งปานกลาง เนื้อเป็นสีน้ำตาลทอง นานเข้าจะกลายเป็นสีน้ำตาล มีน้ำมันในตัว มีลวดลายในตัวเป็นลักษณะที่มีเส้นสีแก่แทรกเสี้ยนตรงเนื้อหยาบ และไม่สม่ำเสมอ พอให้เป็นเท็กซ์เจอร์ของเนื้อ มีความแข็งพอประมาณ ทนทาน แกะสลักได้ดี ชักเงาได้ง่าย และดีมาก เป็นไม้ที่ผึ่งให้แห้งได้ง่ายและอยู่ตัวดี .ไม้สักเป็นไม้ที่นิยมมากในการทำเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ ประตูหน้าต่าง แกะสลักต่างๆ
ไม้กระบาก หรือไม้กะบาก (ไม้เนื้อแข็งปานกลาง)
-
ไม้กระบาก หรือไม้กะบาก เป็นไม้สูงใหญ่ ลักษณะเนื้อไม้โดยรวม มีสีตั้งแต่นวลเหลืองถึงน้ำตาล อ่อนแกมแดงเรื่อๆ เสี้ยนตรง เนื้อหยาบ แต่สม่ำเสมอ แข็ง เหนียว เลื่อยไสตกแต่งได้ไม่ยาก ข้อเสียคือ เนื้อเป็นทราย ทำให้กัดคมเครื่องมือ น้ำหนักโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 600กก./ลบ.ม. ใช้ทำแบบหล่อคอนกรีตได้ดี เพราะถูกน้ำแล้วไม่บิดงอหรือโค้ง ทำเครื่องเรือนราคาไม่แพง ทำกล่องใส่ของ เก้าอี้
ไม้นนทรีย์ (ไม้เนื้อแข็งปานกลาง)
-
ไม้นนทรีย์ เป็นต้นไม้ขนาดกลาง ลักษณะไม้สีชมพูอ่อนถึงน้ำตาลแกมชมพูเป็นมันเลื่อม เสี้ยนตรง หรือเป็นลูกคลื่นหรือสับสนบ้างเล็กน้อย เนื้อหยาบปานกลาง เลื่อยผ่าไสตกแต่งได้ง่าย น้ำหนักโดยเฉลี่ยประมาณ 575 กก. /ลบ.ม. ใช้ทำพื้น เพดาน และฝา ทำเครื่องเรือน และที่ใส่ของต่างๆ

ไม้เนื้ออ่อนเนื้อ ไม้มีความแข็งแรงทนทานน้อย ไม้ชนิดนี้จะมีสีของไม้แตกต่างกันออกไปมาก ตั้งแต่ไม้ที่มีสีจาง อ่อนไปจนถึงสีเข้ม เนื้อไม้ไม่แข็งมากนักจึงไม่นำนิยมนำมาใช้เป็นส่วนของโครงสร้างที่ต้องการรับน้ำหนัก และเนื่องจากเนื้อไม้อ่อนและไม่ค่อยทนทานไม้เนื้ออ่อนเป็นไม้ที่มีความแข็งแรงเฉลี่ยต่ำกว่า 600 กก./ลบ.ม. มีความทนทานต่ำเมื่อเทียบกับไม้ประเภทอื่น คือประมาณ 2 ปี ไม้ประเภทนี้ก็ได้แก่ ไม้ยางแดง ไม้พะยอม ไม้พญาไม้ ไม้กระเจา ไม้กวาด
ไม้ยาง (ไม้เนื้ออ่อน)
-
ไม้ยาง เป็นต้นไม้สูงชลูด ลักษณะเนื้อไม้มีสีแดงเรื่อ หรือสีน้ำตาลหม่น เสี้ยนมักตรง เนื้อหยาบ แข็งปานกลาง ใช้ในร่ม ทนทานดี เลื่อยไสตกแต่งได้ดี น้ำหนักโดยเฉลี่ยนประมาณ 650-720 กก./ลบ.ม. ใช้ในงานก่อสร้างทั่วไป เช่น ใช้เป็นไม้ฝา ไม้คร่าว ฝ้าเพดาน คร่าวฝา
ไม้กระท้อน (ไม้เนื้ออ่อน)
-
ไม้กระท้อน เป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ ลักษณะเนื้อไม้มีสีแดงเรื่อๆปนเทา เสี้ยนไม้ตรง เนื้อค่อนข้างหยาบ แข็งแรงปานกลาง ใช้ในร่มทนทานพอควร เลื่อยไสตกแต่งได้ง่าย ขัดและชักเงาได้ ผึ่งให้แห้งได้ง่าย แต่หดตัวมาก ใช้ทำพื้น เพดาน และเครื่องเรือน
ไม้ต้นมะพร้าว (ไม้เนื้ออ่อน)
-
ไม้ต้นมะพร้าว เนื้อมีความหนาแน่น ใช้เป็นโครงสร้างรองได้ ความหนาแน่นตรงริมมีมากกว่าตรงกลางต้น ตอนกลางมีน้ำหนักเฉลี่ย 400 กก./ลบ.ม. แต่ตอนริมมีน้ำหนักเฉลี่ยถึง 600 กก./ลบ.ม. การนำไม้มาใช้งาน เริ่มจากการตัดโค่นต้นไม้ให้เป็นท่อน ที่เรียกว่า ซุง Log และจะมีการนำซุงมาแปรรูปโดยผ่าหรือเลื่อย ซึ่งก็จะทำให้ได้ไม้รูปลักษณ์ต่างกันตามลักษณะของการผ่าน
สิ่งสำคัญในการนำไม้ที่ผ่านการแปรรูปมาใช้ จะต้องมีการตรวจสอบความสมบูรณ์ของชิ้นไม้ ไม่ให้มีตำหนิมากเกินกว่ามาตรฐานกำหนด เพราะจะส่งผลเมื่อนำไปใช้งานได้

ไม้ที่เรานำมาใช้ในงานก่อสร้างมีอยู่หลายชนิดและหลายประเภท ซึ่งการรับกำลังก็จะแตกต่างกันออกไป ดังนั้นการเลือกใช้ไม้ให้ถูกต้องตามลักษณะของงานก่อสร้าง ยอ่มจะก่อให้เกิดความปลอดภัย และเหมาะสมกับประเภทของงานนั้นๆ ซึ่งไม้แต่ละประเภทจะมีความแตกต่างกันออกไป โดยการจำแนก จะคำนึงถึง กลสมบัติ ของไม้ดังนี้
1. น้ำหนักไม้ (Weight) ไม้ที่เหมาะสำหรับนำมาใช้ในงานวิศวกรรมก่อสร้าง ควรผ่านการผึ่งหรืออบให้เหลือความชื้นประมาณ 12-15% โดยน้ำหนัก เพื่อลดปัญหาการบิดตัว หดตัว และแตกปริในภายหลัง
2. ความถ่วงจำเพาะ (Specific Gravity) เป็นกลสมบัติที่แตกต่างกันไปตามชนิดของไม้ โดยทั่วไปไม้ที่มีน้ำหนักและความถ่วงจำเพาะสูงมักจะเป็นไม้ที่ให้กำลังสูงกว่าไม้ที่มีความถ่วงจำเพาะต่ำ
3. หน่วยแรงดัด (Bending Stress) เป็นกลสมบัติที่ใช้กับการออกแบบโครงสร้างประเภทคาน เพื่อให้สามารถกำหนัดหน้าตัดที่เหมาะสมที่นำมารองรับน้ำหนักบรรทุก
4. โมดูลัสแตกหัก (Modulus of Rupture) เป็นหน่วยแรงดัดของไม้ที่วัด เมื่อถูกแรงดัดประลัยกระทำจนถึงขั้นแตกหัก
5. โมดูลัสยืดหยุ่น (Modulus of Elasticity) เป็นกลสมบัติในการต้านทานต่อการโก่งตัวของคานในแนวดิ่ง โดยทั่วไปไม้ที่มีความชื้นมากจะโก่งตัวมากกว่าไม้ที่ผึ่งแห้งดีแล้ว เมื่อรับน้ำหนักบรรทุกเท่ากัน
6. หน่วยแรงอัดขนาดตามแนวเสี้ยน (Compressive Stress Parallel to Grain) เป็นกลสมบัติที่ใช้ในการพิจารณาการออกแบบโครงสร้างที่ต้องรับแรงอัด เช่น เสา โดยการที่รับแรงของเสา จะเปรียบเสมือนมีเสากลวงเล็กๆของเซลส์ไม้หลายๆเซลส์ช่วยกันยันซึ่งกันและกัน ทำให้รับกำลังได้ดี
7. หน่วยแรงอัดตั้งฉากกับแนวเสี้ยน (Compressive Stress Perpendicular to Grain) เป็นกลสมบัติที่ใช้พิจารณาในการออกแบบโครงสร้างคาน ที่ต้องรับแรงอัดเป็นจุด เพื่อตรวจสอบการยุบตัวของเสี้ยนไม้ให้อยู่ในขอบเขตยืดหยุ่นที่ยอมให้เท่านั้น
8. หน่วยแรงดึงขนานกับแนวเสี้ยน (Tensile Stress Parallel to Grain) เป็นกลสมบัติที่ให้ค้าสูงสุดของไม้ในการออกแบบโครงสร้างไม้
9. หน่วยแรงดึงตั้งฉากกับแนวเสี้ยน (Tensile Stress Perpendicular to Grain) เป็นกลสมบัติที่ไม่ค่อยได้ใช้ในงานออกแบบ
10. หน่วยแรงเฉือนขนานกับแนวเสี้ยน (Shearing Stress Along Grain) เป็นกลสมบัติในการต้านทานการแยกออกจากกันของคานไม้ระหว่างครึ่งบนกับครึ่งล่าง โดยจะมีค่ามาสุดที่จุดกึ่งกลางความลึกปลายคาน


ถึงแม้ว่า "ไม้" จะเป็นวัสดุที่สามารถใช้ได้กับหลายส่วนการก่อสร้าง แต่ว่าจริงๆแล้ว ไม้แต่ละอันนั้นก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป ถึงแม้จะเรียกว่า ไม้ เหมือนๆกัน เราจึงต้องศึกษา และ จำแนกการใช้งานของไม้แต่ละประเภทให้ถูกต้องกับคุณสมบัติและการใช้งานของไม้ในงานก่อสร้าง

โดย การดูแลรักษาเนื้อไม้ที่ดี จะทำให้การใช้งาน ไม้ ยั่งยืนยิ่งขึ้นไป
จากที่ได้ทราบมาแล้วข้างต้น ว่า ไม้ แม้ว่า จะมีความแข็งแรง แต่การดูแล ไม้ เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง เพราะศัตรูตัวฉกรรจ์ของ ไม้ ก็คือ ปลวก นั่นเอง แม้หลายคนจะมีความกังวลเรื่องการใช้ไม้อย่างมาก แต่หากรู้หรือไม่ว่า การใช้งานไม้ให้คงทนถาวร ก็ทำได้ โดยสามารถดูข้อมูลด้านล่างนี้ได้ ดังนี้